เทศกาลวาเลนไทน์ กับ ดอกกุหลาบ ที่อาจไม่รักษ์โลกเพราะสารเคมี!
กุหลาบ เป็นดอกไม้ยอดนิยมสำหรับวาเลนไทน์ อาจจะไม่ได้มี แค่ 'หนาม' ที่ทิ่มแทงมือเท่านั้นที่ 'อันตราย' แต่ หาก ดอกไหน ที่สวยจัดๆ ไร้ตำหนิแล้ว เป็นตัวท็อป ก็อาจจะมีอันตรายจากสารเคมี และไม่ Keep The World
เทศกาลวาเลนไทน์ของขวัญที่ยอดนิยมมากที่สุด คงหนีไม่พ้น 'ดอกกุหลาบ' ดอกไม้ที่เป็นตัวแทนของความรัก สัญลักษณ์ที่ทุกคนที่มีหัวใจแห่งความรัก รู้กันโดยทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ถ้าหากดอกกุหลาบสวยจัด เพอร์เฟกต์ ไร้ตำหนิใดๆ เป็นตัวท็อป อาจจะไม่ใช่ดอกไม้ที่รักษ์โลก สอดคล้องกับเทรนด์ Keep The World เพราะดอกกุหลาบเหล่านั้นอาจจะเต็มไปด้วยสารเคมี
แต่ 'วาเลนไทน์' ปีนี้ อยาก ชวนทุกคนพิจารณาอีกมุม ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม และเรื่อง Keep The World ถึงอันตรายของกุหลาบ โดยเรากำลัง Red ประเด็น พูดถึง 'สารเคมี' ที่เคลือบ 'ดอกกุหลาบ' เพราะส่วนใหญ่ในเชิงการตรวจสอบอันตรายของสิ่งปนเปื้อน เรามักให้ความสำคัญกับอาหารการกินมากกว่าดอกไม้ ซึ่งแทนที่จะเป็นการส่งมอบความรัก ส่งมอบความรู้สึกดีๆ ความใฝ่ใจคนึงคิดถึงกัน แต่สุดท้ายอาจกลับกลายเป็นการหยิบยื่นความตาย ป้ายด้วยยาพิษให้คนที่คุณรักในปีนี้ก็เป็นได้
ทราบหรือไม่ว่ากุหลาบเป็น 'ดอกไม้เศรษฐกิจ' ที่มีมูลค่าในตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมองในมุมของเกษตรกร ข้อมูลในปี 2020 ช่วงโควิด-19 ระบาดหนักๆ นั้น พบแปลงปลูกกุหลาบขนาดใหญ่รวมประมาณ 2,000 ไร่ กระจายตัวใน 4 จังหวัด คือตาก เชียงใหม่ เลย และนครปฐม โดยแหล่งปลูกดอกกุหลาบที่ฮิตในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์นั้น แหล่งใหญ่สุดอยู่ที่อำเภอพบพระ จังหวัดตาก รองลงมาคืออำเภอสะเมิง อำเภอฮอด อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ลดหลั่นลงมาคือพื้นที่ปลูกในจังหวัดเลย และจังหวัดนครปฐม โดยไทยส่งดอกกุหลาบเป็นสินค้าส่งออกในรูปดอกสด มานานหลายสิบปีแล้ว มูลค่าการส่งออกเฉลี่ย 7 ล้านบาทต่อปี ตลาดส่งออกใหญ่ที่สุดคือสิงคโปร์
อย่างไรก็ตามกุหลาบแม้จะมีคุณค่าทางจิตใจ และมีผลต่อตัวเลขทางเศรษฐกิจ แต่อย่าเพิ่งลืมว่าดอกกุหลาบอาจเคลือบด้วยยาพิษ ที่มาในรูปแบบ 'สารเคมี' โดยกุหลาบนั้นขึ้นชื่อเรื่อง 'ความสวยงาม' มันมักจะขาด 'ยา' หรือสารเคมีไม่ได้ โดยการสืบค้นจากข้อมูลจากกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระบุว่า พื้นที่ปลูกกุหลาบ 1 ไร่ เกษตรกรต้องใช้ยาปราบศัตรูพืชเฉลี่ยมากถึง 125 ลิตรเลยทีเดียว โดยกุหลาบที่ป๊อปปูลาร์ใน เทศกาลวาเลนไทน์นั้น จะต้องฉีดพ่นยาสารเคมีทุกขั้นตอน ตลอดระยะครึ่งปี เรียกได้ว่า ตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงวันตัดดอกกุหลาบ
ศัตรูหัวใจของดอกกุหลาบ ก็คือ 'โรคใบจุด' หรือ Black Spot และโรคใบจุด คือศัตรูยืนหนึ่งของวงการกุหลาบ ถือเป็นโรคระดับ Classic ที่ผู้ปลูกกุหลาบรู้จักดี เพราะกุหลาบจะต้องเผชิญกับโรคใบจุดตลอดทั้งปี โดยโรคใบจุดต้องแก้ด้วยสาร คูปราวิท ไดเทน คาโดนิล แคปแทน เบนเลท หรือเบนโนมิล
และนอกจากโรคใบจุดแล้วอีกหนึ่งปัญหาศัตรูของกุหลาบ ก็ยังมีอีก 2-3 อย่าง เป็นต้นว่า เพลี้ยไฟ และ ไรแดง โดย 'เพลี้ยไฟ' นั้น ผู้ที่ปลูกกุหลาบมักสั่ง ยาคาร์บาริล , เอ็นโดซัลแฟน , มาลาไธออน , เมทธิโอคาร์บ , คาร์โบซัลแฟน , อะบาเมคทิน , เบนฟูราคาร์บ หรือฟิโพรบิล มาเพื่อแก้อาการ ส่วน 'ไรแดง' ก็ต้องเจอกับสารเคมีอย่าง ไพรบิดาเบน , อิมิดาคลอพริด , โอเม็ทโธเอท , อะบาเม็คติน , อะมิทราซ , แลมด้าไซฮาโลธริน หรือเท็ทตระไดฟอน และ นอกจากเพลี้ยไฟและไรแดง ธรรมชาติยังแถม 'หนอน' มาให้อีกเล็กน้อย ซึ่งต้องโคจรมาพบกับ อะบาเม็กติน หรือไซเพอร์เมทริน
จะเห็นได้ว่า ดอกกุหลาบ ที่เป็นดอกไม้ยอดนิยมสำหรับวาเลนไทน์นั้น อาจจะไม่ได้มี แค่ 'หนาม' ที่ทิ่มแทงมือเท่านั้นที่อันตราย แต่หากดอกไหนที่สวยจัดๆ ไร้ตำหนิ และยังเป็นตัวท็อป ก็อาจจะมีอันตรายจากสารเคมี ที่ส่งผลต่อความปลอดภัย และมันยังเต็มไปด้วยสารเคมี ที่ ไม่รักษ์โลก ไม่รักสิ่งแวดล้อม และ ไม่ Keep The World อีกด้วย